Sunday, 26 October 2025

ในหลวง ร.10 ทรงศรัทธาเจ้าฟ้าทีปังกร รับเสด็จ ศรีรัศมิ์ สุวะดี กลับตามพระราชประสงค์

 


อันนี้มาจากจังหวัดพิจิตร แล้วชื่ออะไรครับ ข้าราชการครู ค่ะ ที่กำลังล่มสลายโดยหลวง วิจิตรวาทการ ซึ่งได้เขียนถึงความแตกต่างของชนชาติที่ มีวัฒนธรรมและความเจริญงอกงามและชาติที่ กำลังเสื่อมโทรมดังนี้ เขื่อนนิสัยของชนชาติที่มีวัฒนธรรมมี 4 ประการคือ 1 มีนิสัยก่อสร้าง 2 มีนิสัยรักความปราณี 3 มีนิสัยงอกงามและ 4 มีนิสัยต่อสู้ตรง กันข้ามกับนิสัยของชนชาติที่ไม่มี วัฒนธรรมหรือชาติที่กำลังเสื่อมโทรมและ ชาตินั้นใกล้ถึงความพินาศล่มจมเราจะเห็น ในนิสัยต่อไปนี้ที่ปรากฏชัดคือ 1 นิสัยทำลายเผาชอบความรุนแรง 2 นิสัย อยากหรือสุขเอาเผากินหยาบทั้งคำพูด

กระด้างทั้งหัวใจ 3 นิสัยร่วงโรยและสี่ เลี่ยงนี้ไม่รับผิดชอบเอาดีเข้าตัวเอา ชั่วให้คนอื่น และนี่คือคำทำนายประเทศไทย 12 รัชกาลของ ผลหลวงในสมัยรัชกาลที่ 1 ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมี ผู้เฒ่าเล่ากันต่อๆมาว่าในรัชกาลที่ 1 วันหนึ่งเวลาเย็นขนาดที่พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกประทับอยู่ณตำหนักในขณะนั้นเองก็ พอดีพระโหราผ่านมาจะเข้าเฝ้าพระองค์ก็เลย รับสั่งให้หา พระพุทธยอดฟ้าจึงเผยพระโอษฐ์ขึ้นก่อนว่า ท่านมาก็ดีแล้วท่านโหราฉันจะให้ท่าน พยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ ต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรพระโหราจึง

กราบทูลว่า พระอาญาไม่พ้นเกล้าการถวายคำพยากรณ์โชค ชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเรื่องสำคัญ จำจะต้องตรวจการพยากรณ์โดยความระมัดระวัง จะต้องใช้เวลาถึง 3 วัน จึงจะกราบทูลถวาย คำพยากรณ์ได้ ครั้งแล้วท่านโหราธิบดีได้จดปีเดือนวัน เวลาของวันที่ลงหลักเมืองกรุง รัตนโกสินทร์ตามที่พระพุทธยอดฟ้ารับสั่ง แล้วจึงกราบทูลลากลับไปพอครบ 3 วันพระ โหราธิบดีจึงมาเฝ้าพระพุทธยอดฟ้าตามนัด และได้ถวายคำพยากรณ์เป็น 12 ยุคดังนี้ ยุคที่ 1 รัชกาลที่ 1 ชื่อว่ามหากาฬมี อรรถาว่ารัชกาลของพระองค์นี้มืดมากก็คือ พระองค์ไม่รู้ที่จะดำเนิน รัฐศาสนโยบายของประเทศไปในทางไหนดีเพราะ

เป็นระยะเริ่มก่อร่างสร้างตรง [เพลง] ยุคที่สองรัชกาลที่ 2 ชื่อว่าผ่านยักษ์มี อรรถาธิบาย ว่าผู้ที่รับมอบสืบราชสมบัติต่อจากพระ องค์ไปจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ประกอบ ไปด้วยความอ่อนแอไม่มีความสามารถในการปก ครอง ยุคที่ 3 รัชกาลที่ 3 ชื่อว่ารักมิตรมี อรรถาธิบายว่าผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมาถึง รัชกาลที่ 3 นี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ ทรงโปรดที่จะทำสัญญาผูกสัมพันธ์ทำไมตีกับ ต่างประเทศมาก ยุคที่ 4 รัชกาลที่ 4 ชื่อว่า สถิตธรรม มีอรรถาธิบายว่าผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมา ถึงรัชกาลที่ 4 นี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ที่ทรงพอพระทัยฝักใฝ่ในทางธรรมและพระ พุทธศาสนามาก

ยุคที่ 5 รัชกาลที่ 5 ชื่อว่าจำแขนขาดมี อรรถาธิบายว่าจะมีการเสียดินแดนให้แก่ ต่างประเทศในรัชกาลที่ 5 ด้วยความจำใจ ยุคที่ 6 รัชกาลที่ 6 ชื่อว่า ราชโจร มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมาถึงรัชกาลที่ 6 นี้เป็นพระราชาที่เปรียบเสมือนโจรคือพระ เจ้าแผ่นดินที่จับจ่ายใช้สอยทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์มาก ยุคที่ 7 รัชกาลที่ 7 ชื่อว่าพันธุกมี อรรถาธิบายว่าผู้ที่สื่อราชสมบัติถึง รัชกาลที่ 7 นี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ มารับเคาะหนักตลอดรัชสมัย ยุคที่ 8 รัชกาลที่ 8 ชื่อว่ายุคทมิฬมี อรรถาธิบาย ว่าจะเกิดมีสงครามในยุคนี้ประชาชน ประชาธาตุจะต้องเสียสละทรัพย์สมบัติและ

เลือดเนื้อเพื่อรักษาไว้ของส่วนใหญ่อัน เป็นที่รักแต่พระโหรามีได้ทำนายไว้ถึงว่า รัชกาลที่ 8 จะประสบเหตุการณ์ถึงสิ้นพระ ชนม์โดยลักษณะการเช่นนี้ ยุคที่ 9 ชื่อว่าถิ่น สกาย มี อรรถาธิบาย ว่าผู้ที่สืบสังกะติวงศ์ของราชสมบัติต่อ มาถึงรัชกาลนี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มี บุญญาธิการประเทศจะเจริญรุ่งเรือง ยุคที่ 10 ชื่อว่าชาวศรีวิไลมีอรรถาธิบาย ว่าประชาชนพลเมืองจะถึงซึ่งอริยธรรมอัน แท้จริงในยุคนี้คือพวกมิจฉาทิฐิและอธรรม จะเสื่อมสิ้นไปพวกนี้ถ้าไม่ตายด้วยคมหอก คมดาบก็จะต้องตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพราะเป็นยุคของอารยชนที่มีจิตใจเป็นธรรม

ที่จะอาศัยอยู่ในอารยประเทศถิ่นสกาวได้ ถ้าผู้ใดไม่มีศีลผู้นั้นก็เท่ากับฝืนโชค ชะตากรรมของประเทศชาติจะต้องได้รับโทษถึง ตายโดยทางใดทางหนึ่งดังกล่าวมาแล้ว ยกที่ 11 ชื่อว่าไทยมหาราชมีอรรถาธิบาย ว่าประเทศจะเป็นมหาอำนาจในยุคนี้ ยุคที่ 12 ชื่อว่า จักรพรรดิ มีอัตถะที่ตายว่าพระเจ้าแผ่นดินจะเป็นถึง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิในยุคนี้ คำยืนยันจากหลวงปู่มั่น ศาสน์กษัตริย์เปรียบเสมือนเสาหลักค้ำจุน กันและกันถ้าขาดพระมหากษัตริย์พระ อริยบุคคลก็หายไปด้วยเรื่องของพระ อริยบุคคลนี้พระอาจารย์มั่นป่ารบไว้หลาย สถานที่หลายวาระต่างๆกันแล้วแต่เหตุท่าน

กล่าวว่าชาวพุทธมีหลายประเทศแต่จะขอกล่าว เฉพาะที่ใกล้เคียงคือเขมรลาวเวียดนามและ พม่านอกนี้ไม่กล่าวพระอาจารย์มั่นบอกว่า เราไม่ได้ว่าเขาเหล่านั้นแต่ได้พิจารณา แล้วไม่มีก็ว่าไม่มีมีก็ว่ามีท่านหมายถึง ว่าพระอริยบุคคลในประเทศเหล่านี้มีที่ ประเทศพม่าเพียงคนเดียวอยู่ในหมู่บ้านที่ ท่านไปจำพรรษาเป็นพระขาวคืออุบาสกผู้ถือ ศีลซึ่ง เรา กันว่าบุตรสาวบุตรเขยและบุตร ชายของผ้าขาวคนนั้นล่ะที่มาจัดเสนาสนะของ บิดาเพื่อถวายพระอาจารย์มั่นและถ้าเจ้า คุณบุญมั่นครั้งจำพรรษาที่ประเทศพม่าท่าน ว่ายกเว้นสยามประเทศแล้วนอกนั้นไม่มี สำหรับสยามประเทศตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึง

ปัจจุบันมีติดต่อมาโดยไม่ขาดสายทาง คฤหัสถ์ แต่มักขั้นต้นคฤหัสถ์มากกว่าทั้งปริมาณ และมี สิคา น้อยกว่า พระอาจารย์มั่นกล่าวต่อไปว่าเราไม่ได้ว่า เขาเราไม่ได้ดูมินเขาเพราะประเทศเหล่า นั้นขาดความพร้อมคือคุณสมบัติหลายอย่าง เช่นเรื่องอักขระที่ไม่เป็นพุทธภาษาคือ เป็นฐานก่อนวิบัติและองค์ประกอบอย่าง หนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือองค์พระ มหากษัตริย์ของประเทศที่นับถือพระ พุทธศาสนานี้ก็สำคัญขาดไม่ได้ถ้าขาดไป อริยบุคคลก็ขาดไปด้วยท่านจึงกล่าวอีกว่า เมื่อพระพุทธเจ้าจะประกาศพระศาสนาทรงหา หลักคำประการอันมั่นคงคือมุ่งไปที่พระ เจ้าพิมพิสารความสำคัญอันนี้มีมาตลอดหาก

ประเทศใดไม่มีองค์ประกอบนี้ซึ่งเป็น เอกอัครศาสนูปก็ปฏิเสธได้เลย เปรียบเหมือนกับก้อนเศร้าคือก้อนหินที่นำ มาตั้งเป็น เตา ทำอาหาร 3 ก้อนก้อนที่ 1 คือความเป็นชาติก้อนที่ 2 มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติก่อนที่ 3 มีพระ มหากษัตริย์เป็น เอกอัครศาสนูปถัมภกหากขาดไปก้อนใดก้อน หนึ่งก็จะขาดความสมบูรณ์ไปไม่เฉพาะจะใช้ 1 ต้มแกง หมู หาอาหารได้ ที่มาหนังสือรำลึกวันวาน หนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติศาสตร์ธรรมและ พระธรรมเทศนาแห่งหลวงปู่มั่นจากบันทึก ความทรงจำของหลวงตาทองคำจาร